ติดตาม
คนบ้านนอกอย่างเรารับข่าวสารจากวิทยุ
FM และคำเล่าของเพื่อนบ้านมากที่สุด
(การหายไปของหนังสือพิมพ์ในสังคมบ้านผม
– จะว่าบ้านนอกก็เกรงว่า “บ้านนอก” ที่อื่นจะแย้ง)
- เอารูปควายแถวบ้านมาฝาก -
ระหว่างการอ่านข่าวออนไลน์กับการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์พ่อกับแม่ได้รับข่าวทางไหนมากกว่ากัน
“ไม่ทั้งสองทาง” ทั้งสองตอบ
ครั้งหนึ่งในชีวิตของใครหลายๆคนคงต้องสอบภาษาอังกฤษส่วนการเขียน
ซึ่งถือว่าค่อนข้างยาก ไม่เพียงแต่ความยากของภาษา การกลั่นกรองความคิดและการเรียงลำดับความคิดยังถือเป็นสิ่งสนับสนุนให้ยากขึ้นไปอีก
ซึ่งเราจะกลั่นกรองความคิดออกมาได้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความรู้เดิมหรือความรู้พื้นฐาน
(Background Knowledge) ที่เราได้เรียนหรือได้รู้มาก่อนที่จะมาตอบคำถามนั้นๆ
ผมนึกถึงคำถามที่ผมเจอตอนตอบข้อเขียนของภาษาอังกฤษ
“ปัจจุบันดูเหมือนข่าวสารออนไลน์จะมีเพิ่มขึ้น
ท่านคิดว่าในอนาคตสื่อออนไลน์จะแทนหนังสือพิมพ์หรือไม่”
ด้วยความมี internet
and wifi addiction ของผม ผมก็ตอบไปว่าอาจเป็นไปได้
พร้อมกับยกตัวอย่างมาแปะ ทั้งผู้คนใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีความสะดวกสบายในการอ่านมากขึ้น
หยิบมาอ่านที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่ต้องแบกหนังสือพิมพ์เป็นฉบับๆ สามารถเข้าถึงข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว
และเว็บข่าวบางเว็บอัพเดทข่าวเร็วกว่าหนังสือพิมพ์เสียอีก แม้คะแนนที่ได้จะไม่ได้สูงมากแต่ผมยิ้มกริ่ม
ยกมุมปากในกระจกในห้องน้ำหลังทำข้อสอบแสดงความพอใจในคำตอบของตัวเองนิดๆ
เมื่อได้โอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน ผมนึกสนุกนำคำถามมาถามพ่อแม่
โดยปรับคำถามนิดหน่อย
“ระหว่างการอ่านข่าวออนไลน์กับการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์พ่อกับแม่ได้รับข่าวทางไหนมากกว่ากัน”
“ไม่ทั้งสองทาง” ทั้งสองตอบ
ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะ
แม่บอกว่า “คนรุ่นนี้ บ้านนอกเช่นนี้จะดูจะอ่านข่าวออนไลน์ยังไง
อินเทอร์เน็ตยังใช้ไม่เป็นเลย โทรศัพท์ก็ยังเป็นรุ่นดึกดำบรรพ์อยู่”
แม้จะมีบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์หลายบริษัทเค้ามาในตำบล
รับแลกโทรศัพท์เก่ากับโทรศัพท์ให้ โดยมีข้อแม้ให้ใช้ซิมของบริษัท ซึ่งคงเป็นกลยุทธ์ในการรักษาลูกค้าเครือข่ายไว้
แต่หลายคนยังคงปฏิเสธ การใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนไม่ได้ถือเป็นของเล่นสำหรับคนรุ่นเก่า
หากได้มาแต่ใช้ไม่เป็นก็ไม่รู้จะเอามาทำไม
ดังนั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนรุ่นพ่อที่อาศัยอยู่บ้านนอกแบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
หนังสือพิมพ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จะหาได้สักเล่มต้องออกไปในเมืองไม่ก็ต้องขี่รถไปซื้ออีกตำบลซึ่งก็หลายกิโลเมตรอยู่เหมือนกัน
เรามันบ้านนอก...
เมื่อผมเป็นเด็ก จำได้ว่าแต่ละหมู่บ้านจะมีที่อ่านหนังสือพิมพ์
ไม่น่าเชื่อว่าหนอนหนังสือในหมู่บ้านก็ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
หลายคนเข้าไปอ่านข่าวหน้าหนึ่ง แล้วนำไปพูดให้คนฟัง ส่วนเด็กตัวเล็กๆอย่างพวกผม
ก็เคยแอบไปตัดหนังสือพิมพ์เอารูปดารามาประกอบการเรียนบ่อยครั้ง เช่นตอนครูสั่งให้หารูปแล้วมาสร้างแผนภูมิครอบครัว
จะไปหารูปที่ไหนได้ล่ะ แย่งตัดหนังสือพิมพ์กันยกใหญ่ (กลัวผู้ใหญ่บ้านและผู้ดูแลรู้ก็กลัว
รีบตัดรีบหนี แต่มิวาย ตัดรูปดาราที่ตนชอบติดมือมาแปะผนังบ้านด้วย –
ผมเชื่อเหลือเกินว่าเด็กบ้านนอกรุ่นยี่สิบกว่าๆหรือสามสิบกว่าๆทำเหมือนกัน)
แต่ปัจจุบันไม่มีแม้แต่ที่แขวนหนังสือพิมพ์แล้ว
ลดอายุจากคนวัยห้าสิบกว่ากว่าอย่างพ่อ
และวัยสี่สิบกว่า(ที่ยืนยันไม่ใช้สมาร์ทโฟน) จากการสังเกต วัยรุ่นอายุราวสามสิบถึงสี่สิบ
(คนแถวบ้านชอบเรียกตนเองว่ายังเป็นวัยรุ่น)
และพวกผู้นำหมู่บ้านก็เริ่มมีการใช้สามาร์ทโฟนมากขึ้น
แต่ก็ยังงงๆกับฟังก์ชันในนั้นอยู่
อาจมีบ้างที่อ่านข่าวที่มีบางคนแชร์เข้าเฟสบุคเข้าไลน์ แต่คงไม่เยอะนัก
ต้องยอมรับผู้คนรับข่าวสารจากทีวีค่อนข้างเยอะ
ในเวลากินข้าวเช้าและเย็นก็มักเปิดทีวีดูข่าวไปด้วย
แต่เมื่อคนบ้านนอกส่วนใหญ่ยังคงหาเช้ากินค่ำ
ครั้นจะให้นั่งดูทีวีฟังข่าวสารทั้งวันคงเป็นไปไม่ได้
วิทยุ FM.
เป็นอีกสื่อที่ฮอตฮิตขาดไม่ได้แม้ว่าบ้านไหนๆ
เกือบทุกบ้านมีทรานซิสเตอร์เปิดฟังระหว่างทำงาน ข่าวสารก็ถูกสื่อออกมาให้ผู้รับสารได้รับฟังและคิด
นั่นเป็นสาเหตุให้พวกชาวบ้านไม่เคยตกเทรนด์ข่าวสารเลย
คนในหมู่บ้านรับรู้ข่าวแทบจะทุกเรื่อง
ทั้งการเมือง กีฬา ดารา โดยเฉพาะเรื่องดราม่าต่างๆ เช่นนักท่องเที่ยวต่างชาติกินแล้วโวยวายไม่จ่ายตังค์เป็นต้น
อย่างที่กล่าว
วัยรุ่นและพวกผู้นำอาจรับรู้ข่าวจากการอ่านข่าวออนไลน์ หลายคนดูข่าวจากทีวีและฟังวิทยุ
แต่ข่าวเหล่านี้แพร่เร็วได้เร็วมาก
บ้านผมทำตะกร้าหวาย
(เกือบทั้งหมู่บ้านทำตะกร้าหวาย) เนื่องจากเป็นสินค้า OTOP รายได้หลักนอกจากทำเกษตรกรรมแล้วก็มาจากตะกร้าหวายนี่แหละ และแน่นอนจะทำอยู่บ้านคนเดียวมันก็กะไรอยู่
เหงา เบื่อ เลยเกิดการล้อมวงตะกร้าขึ้น แม่นั่นยกตูดมานั่ง
ป้าโน่นปั่นจักรยานมาแวะ ยายโน้นเดินฮำเพลงพุ่มพวงเข้ามาแจม กลายเป็นวงใหญ่ขึ้น
ข่าวสารอยู่มาจากเว็บไซต์ไหนหรือทีวีช่องไหนไม่รู้
แต่เวทีตะกร้าหวายเป็นเวทีที่เปิดให้ผู้ประกาศข่าวสมัครเล่นมาทดลองหน้ากล้องกันได้อย่างสม่ำเสมอ
(คงแนวเดียวกันกับแม่ค้าเลยกระมัง)
อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับมาจากโทรทัศน์
วิทยุ และมาจากออนไลน์บ้าง เราจะเห็นได้ยากมากที่ผู้คนจะบอกว่า “เมื่อเช้าฉันอ่านหนังสือพิมพ์นี้มา มันบอกว่า…”
หนังสือพิมพ์เริ่มหายไปเสียแล้ว...
ไม่มีหนังสือพิมพ์ให้เด็กฉีกรูปไปแปะส่งงานครูอีกแล้ว...
ไม่มีหนังสือพิพม์ให้คนในชุมชนเคี้ยวหมากแล้วนั่งอ่านอีกแล้ว...
น่าเศร้าสำหรับหนังสือพิมพ์ เพราะดูเหมือนว่าเราทุกคนจะยอมรับได้กับการจากไป
ไม่ได้โอดครวญโหยหามันอีกแล้ว ทุกคนมีทีวี วิทยุ วัยรุ่นและผู้นำมีสมาร์ทโฟน
หนังสือพิมจึงพ์ยิ่งยากที่จะมีใครสักคนหยิบขึ้นมาอ่าน
น่าเศร้ากับน้องหนังสือพิมพ์เอ๋ย ที่ไม่ค่อยได้มีบทบาทนักในหมู่บ้านพี่...